สคร.7 เตือนผู้ป่วยเบาหวาน-ผู้มีบาดแผล หลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำ และดินโคลน ย้ำโรคเมลิออยด์ต้นเหตุติดเชื้อป่วยมีอาการรุนแรง
สคร.7 เตือนผู้ป่วยเบาหวาน-ผู้มีบาดแผล หลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำ และดินโคลน ย้ำโรคเมลิออยด์ต้นเหตุติดเชื้อป่วยมีอาการรุนแรง
สถานการณ์โรคเมลิออยด์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 1 ตุลาคม 2568 ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรค Digital Disease Surveillance (DDS) ของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในประเทศไทยพบผู้ป่วยจำนวน 3,322 ราย และมีผู้เสียชีวิต 149 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม และอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย 5 จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และอุดรธานี

ดร.นายแพทย์หิรัญวุฒิ แพร่คุณธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์โรคในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 (ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์) พบผู้ป่วยโรคเมลิออยด์จำนวน 444 ราย และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย

โรคเมลิออยด์ (Melioidosis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบได้ในดินและน้ำที่ปนเปื้อน อุบัติการณ์ของโรคเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูงและมีน้ำท่วมน้ำขัง โดยประชาชนมีโอกาสสัมผัสกับดินและน้ำจากการทำเกษตรกรรม เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล การหายใจเอาฝุ่นดินหรือการดื่มน้ำที่มีเชื้อเข้าไป เมื่อได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการ ได้หลากหลายทั้งแบบเฉียบพลันรุนแรง จนถึงแบบค่อยเป็นค่อยไปและเรื้อรัง อาการแบบเฉียบพลันจะเริ่มมีอาการ เฉลี่ย 3 - 7 วัน ส่วนแบบเรื้อรัง จะมีอาการภายใน 2 - 3 สัปดาห์ จนเป็นเดือนหรือหลายปี โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะมีอาการได้ตั้งแต่ไข้เฉียบพลัน ปอดอักเสบ ฝีในอวัยวะต่าง ๆ หรืออาการรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ กลุ่มประชากรที่อาศัยหรือทำงานในพื้นที่เหล่านี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีความชื้นสูงและน้ำท่วมขังซึ่งเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อ เน้นย้ำกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรงหากติดเชื้อโรค เมลิออยด์ มีดังนี้ :

1. ผู้ป่วยเบาหวาน เป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับหนึ่งที่พบว่ามีอัตราการติดเชื้อเมลิออยด์สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้รวดเร็ว

2. ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอ อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่าย

3. ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง เช่น โรคตับแข็ง ตับเป็นอวัยวะสำคัญ เมื่อทำงานผิดปกติจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

4. ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS, ผู้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน (หลังปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ได้รับเคมีบำบัด ฯลฯ)

5. ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน

6. ผู้ที่มีแผลเปิดที่ผิวหนัง เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อลงแช่น้ำหรือลุยโคลนที่มีเชื้อปนเปื้อน

ดังนั้นกลุ่มเสี่ยง เกษตรกร หรือผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่น้ำท่วมขัง ควรป้องกันตนเองโดยสวมรองเท้าบูทและถุงมือเมื่อต้องสัมผัสดินหรือแหล่งน้ำ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่สะอาด หากมีบาดแผลควรทำแผลให้สะอาดและปิดให้มิดชิด หลีกเลี่ยงสัมผัสดินและน้ำจนกว่าแผลจะหายดี หากมีอาการไข้สูง หอบเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีและแจ้งประวัติการสัมผัสดินหรือน้ำทันที “โรคเมลิออยด์สามารถป้องกันได้ หากประชาชนตระหนักและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422