medicalfocusth

เลขาธิการ สปสช. เผยทิศทางบริหาร “กองทุนบัตรทอง ปี 2569”
เลขาธิการ สปสช. เผยทิศทางบริหาร “กองทุนบัตรทอง ปี 2569”
เลขาธิการ สปสช. เผยทิศทางการบริหารจัดการ “กองทุนบัตรทอง ปี 2569” เน้นการเปลี่ยนแปลงมุ่งพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ ทั้งบริการผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน บริการเฉพาะ โรคเรื้อรัง ปฐมภูมิ สร้างเสริมป้องกัน และ กปท. เพื่อเร่งยกระดับสุขภาพคนไทยทั่วประเทศ พร้อมเชิญหน่วยบริการทั่วประเทศ 15 ต.ค. นี้ ร่วมรับฟังการชี้แจงการบริการกองทุนฯ ผ่าน FB Live : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการก้าวเข้าสู่ปีงบประมาณ 2569 “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” (บัตรทอง 30 บาท) ได้มีการปรับเกณฑ์บริหารงบประมาณที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุม มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ภายใต้งบประมาณกว่า 265,295 ล้านบาท หรือเฉลี่ยงบเหมาจ่ายรายหัว 4,173 บาทต่อคนต่อปี ครอบคลุมบริการทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน กรณีเฉพาะ โรคเรื้อรัง บริการปฐมภูมิ และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ตลอดจนการดำเนินการ “กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่” (กปท.) ซึ่งการดำเนินการได้มีการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการเพื่อให้มีความเหมาะสมกับบริบทด้านสุขภาพในปัจจุบัน เช่น การโยกสิทธิประโยชน์บางรายการจากงบผู้ป่วยนอกไปอยู่ในงบผู้ป่วยในและบริการกรณีเฉพาะ ทั้งหมดนี้เพื่อให้การจัดสรรงบมีความตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยมากขึ้น

ในส่วนรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงในการบริหารฯ นั้น เริ่มจาก “บริการผู้ป่วยใน” ในปีนี้จะนำผลตรวจสอบการให้บริการ มาใช้เป็นข้อมูลพิจารณาจ่ายชดเชยค่าบริการผู้ป่วยในให้กับหน่วยบริการ โดยหารือร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำข้อเสนอ มาตรการ และวิธีการนำผลการตรวจสอบไปขยายผลให้กับหน่วยบริการทั้งหมด การปรับเกณฑ์การจ่ายชดเชยบริการผู้ป่วยในที่บ้าน (Homeward) กำหนดการเบิกจ่ายไม่เกิน 3 ครั้งต่อคน เพื่อป้องกันการจ่ายที่ไม่จำเป็น พร้อมระบุหน่วยบริการที่สามารถเบิกจ่ายได้ โดยให้เขตดำเนินการกำหนดอัตราจ่ายภายใต้วงเงินบริการผู้ป่วย Homeward ของเขตได้ เพื่อไม่ให้เกินวงเงินงบประมาณแบบปิด (Global budget)

ขณะที่งบ “บริการกรณีเฉพาะ” ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ที่สะท้อนความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบ อาทิ ค่าพาหนะสำหรับรับ-ส่งผู้ป่วย ขยายบริการผ่าตัดวันเดียวกลับให้ครอบคลุมโรคอ้วน และเพิ่มบริการแพทย์ขั้นสูงที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์อ่านภาพเอกซเรย์ทรวงอก การใช้เทคโนโลยี 3D Printing ทางการแพทย์ ตลอดจนการรักษามะเร็งด้วยเครื่องฉายรังสีชนิด MRI-guided linear accelerator เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังปรับบริการดูแลผู้มีบุตรยาก โดยโยกการเบิกจ่ายไว้ในหมวดงบกรณีเฉพาะ รวมถึงการดูแลประคับประคองในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังให้มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ตามรายการบัญชียาหลักแห่งชาติให้มีความทันสมัย รวมถึงการเพิ่มรายการอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจในเด็กเพื่อให้ครอบคลุมการรักษาที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

สำหรับในส่วน “บริการแพทย์แผนไทย” ได้มีการสนับสนุนบริการเพิ่มมากขึ้น โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมกว่า 60 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มเติมบริการนวดไทยเฉพาะโรคใน 7 รายการ พร้อมส่งเสริมหน่วยบริการที่สามารถใช้สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบันได้อย่างเต็มรูปแบบ
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ส่วน “งบบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัว” เริ่มจากบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ในปีงบประมาณ 2569 จะดำเนินการจัดซื้อชุดตรวจคัดกรองด้วยตัวเอง (HIV self test) แบบจัดซื้อรวม และขยายขอบเขตการควบคุมโรคที่มุ่งกลุ่มเยาวชน ขณะที่บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง (CKD) ยังคงเป้าหมายนโยบายที่ผู้ป่วยรายใหม่จะต้องไม่เกิน 1.5 หมื่นรายต่อปีเช่นเดิม ส่วนบริการควบคุมโรคเรื้อรัง (NCDs) ในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่โรคเบาหวานและความดัน กำหนดการจ่ายตามผลลัพธ์บริการที่สามารถทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเข้าสู่ภาวะโรคสงบ โดยตั้งเป้าหมายเบื้องต้นที่ 5 หมื่นราย ในปี 2569 รวมถึงในส่วนโรคหอบหืด (Astma) และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ก็มีการปรับสัดส่วนจ่ายตามผลลัพธ์บริการเช่นกัน

สำหรับ “บริการระดับปฐมภูมิของหน่วยบริการ” นั้น ได้ปรับการจ่ายชดเชยด้วยวิธีเหมาจ่ายให้หน่วยบริการที่เป็นต้นแบบของหน่วยบริการปฐมภูมิ ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ที่ผ่านการรับรองเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิต้นแบบจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เบื้องต้นไม่เกิน 23 แห่ง ภายใต้วงเงินงบประมาณ 153 ล้านบาท ซึ่งหน่วยบริการที่ผ่านการรับรองจะได้รับงบประมาณ 7-10 ล้านบาท ส่วน “บริการในหน่วยนวัตกรรม” ทั้ง 7 ประเภท ก็ได้มีการปรับอัตราจ่ายให้เหมาะสมเช่นกัน ทั้งการปรับลดจำนวนครั้งเข้ารับบริการดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อยใน 4 หน่วยนวัตกรรม รวมถึงปรับอัตราจ่ายในรายการบริการที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังมีบริการสาธารณสุขที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ขับเคลื่อนผ่าน กปท. จะได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นในส่วนบริการจิตเวชเรื้อรังในชุมชน และการบำบัดยาเสพติดในชุมชนซึ่งจะเป็นการจ่ายแบบโครงการ

“ส่วนค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (LTC) ภายใต้ กปท. จะเปิดให้ท้องถิ่นสามารถร่วมสมทบงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการจ้างผู้ดูแล (Caregiver) โดยกำหนดโควตาจำนวน Caregiver ที่ท้องถิ่นสามารถจ้างได้ รวมถึงการเพิ่มเงื่อนไขเบิกจ่ายไม่ให้ซ้ำซ้อนกับบริการอื่น เช่น การดูแลประคับประคอง และการดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน (Homeward) และที่สำคัญจะเพิ่มรูปแบบของสถานชีวาภิบาลแบบไม่พักค้าง หรือศูนย์เดย์แคร์ในแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย” เลขาธิการ สปสช. กล่าว

นพ.จเด็จ ยังระบุเพิ่มเติมในส่วนของบริการสร้างเสริมสุขภาพฯ ด้วยว่า จะเพิ่มบริการที่จ่ายชดเชยแบบโครงการ 2 รายการ ได้แก่ ธนาคารนมแม่ และบริการมิตรภาพบำบัด ขณะที่ในส่วนบริการสร้างเสริมสุขภาพฯ ตามรายการ ( P&P Fee schedule) มีการปรับปรุงรายเงื่อนไขการจ่ายชดเชยให้เหมาะสมทั้ง 28 รายการ เช่น บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติทารกในครรภ์ด้วยวิธี NIPT แว่นตาเด็ก เป็นต้น นอกจากยังมีการเพิ่มรายการบริการในส่วนนี้ตามนโยบายอีกในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งต่อเนื่องมาจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้แก่ บริการตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน การตรวจคัดกรองโรคออทิสติกด้วยเครื่องมือ TDAS รวมถึงบริการศูนย์ให้คำปรึกษาด้านจิตเวช

“ในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. จะมีการจัดประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 3-4 โรงแรมเช็มทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ขอเชิญชวนหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมติดตามการชี้แจงได้ โดยจะมีการถ่ายทอดผ่าน FB Live : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อจะเป็นแนวทางดำเนินการให้กับหน่วยบริการในการดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองในปีงบประมาณ 2569 นี้” เลขาธิการ สปสช. กล่าว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
1.สายด่วน สปสช. 1330
2.ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
https://www.facebook.com/NHSO.Thailand